วิเคราะห์ตลาดก่อสร้างไทย ปี 2567 – Q2/2568: หดตัว กดดัน แต่ยังมีโอกาส?
อุตสาหกรรมก่อสร้างของประเทศไทยในช่วงปีที่ผ่านมา จนถึงไตรมาสที่ 2 ของปี 2568 เผชิญกับทั้งปัจจัยหนุนและแรงกดดันที่ส่งผลให้ภาพรวมของตลาดอยู่ในภาวะ ชะลอตัวถึงหดตัว โดยเฉพาะในภาคเอกชน ขณะเดียวกัน การเข้ามาของนักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะจากจีน ก็กำลังกระตุ้นการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างการแข่งขันของอุตสาหกรรมนี้
แนวโน้มโดยรวม: ก่อสร้างไทยกำลังเผชิญจุดเปลี่ยน
🔹 ปี 2567:
- SCB EIC คาดว่ามูลค่าอุตสาหกรรมก่อสร้างจะขยายตัว +2% แตะระดับ 1.4 ล้านล้านบาท
- ttb analytics กลับประเมินว่าอุตสาหกรรมจะหดตัว -2.7% เหลือ 1.34 ล้านล้านบาท
โดยเฉพาะในภาคเอกชน แม้จะมีการขยายตัวของบางกลุ่ม เช่น คอนโดและอสังหาฯ เชิงพาณิชย์ แต่โดยรวมยังเผชิญแรงกดดันจาก ภาวะ Oversupply และการชะลอตัวของโครงการขนาดใหญ่
🔹 ปี 2568 (Q1/Q2):
- SCB EIC คาดว่าการก่อสร้างภาครัฐจะฟื้นตัว +3% หากการจัดทำงบประมาณไม่ล่าช้า
- ภาคเอกชนอาจขยายตัวเพียง 1% หรือ หดตัวถึง -5.6% ตาม ttb analytics
- ตลาดที่อยู่อาศัยระดับกลางถึงล่างยังไม่ฟื้นตัว ส่วนบ้านสร้างเองลดลงมากถึง 24% ในปี 2567 และมีแนวโน้มทรงตัวในปี 2568
บริษัทก่อสร้าง: เปิดน้อย ปิดมาก
จากข้อมูลล่าสุด:
- ปี 2566: บริษัทก่อสร้างปิดกิจการสูงถึง 2,306 ราย
- 7 เดือนแรกของปี 2567: ปิดกิจการเพิ่มอีก 758 ราย
- 4 เดือนแรกของปี 2568: ภาคก่อสร้างเป็นส่วนหนึ่งในธุรกิจที่ปิดตัวรวมกว่า 4,000 ราย
แม้จะยังมีบางบริษัทเปิดใหม่เพื่อรับโครงการระดับกลางถึงบน แต่ทิศทางรวมยังคง “ติดลบ”
การถูก Disruption จากจีน: มาแบบครบวงจร
นักลงทุนจีนไม่ได้มาแค่ลงทุนอสังหาฯ แต่ยัง:
- พัฒนาโครงการเอง
- ใช้บริษัทรับเหมาจีน
- นำเข้าวัสดุ ราคาถูก
- ใช้แรงงานจีน ส่งผลให้เกิดการแข่งขันด้านต้นทุนและเทคโนโลยี ซึ่งอาจกระทบผู้รับเหมาขนาดกลาง-เล็กของไทยอย่างมาก โดยเฉพาะในกลุ่มที่อยู่อาศัยและโครงการเชิงพาณิชย์
ประเภทงานก่อสร้างที่มีมูลค่าสูงที่สุด
- ภาคเอกชน: อาคารที่อยู่อาศัย มีสัดส่วนสูงถึง 69.1% ของงานก่อสร้างภาคเอกชนทั้งหมด แม้จะชะลอตัวแต่ยังถือเป็นกลุ่มมูลค่าสูง
- ภาครัฐ: โครงการเมกะโปรเจกต์ เช่น รถไฟฟ้า ทางด่วน โครงสร้างพื้นฐาน ยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในระยะยาว
บทสรุป
"แม้อุตสาหกรรมก่อสร้างไทยกำลังเผชิญช่วงเวลาที่ยากลำบาก โดยเฉพาะในภาคเอกชน แต่โอกาสก็ยังมีในภาครัฐและกลุ่มเฉพาะที่สามารถปรับตัวได้เร็ว"
ในภาวะเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ความสามารถในการวางแผน บริหารต้นทุน และปรับตัวเข้าสู่รูปแบบการก่อสร้างที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้น จึงเป็นกุญแจสำคัญของผู้ประกอบการไทยในปี 2568 นี้
ในภาวะวิกฤติเศรษฐกิจ งานด้านความปลอดภัยในการทำงาน (Occupational Safety) ไม่ใช่ต้นทุนจม แต่เป็น เครื่องมือสำคัญในการลดต้นทุนโดยรวม ให้กับนายจ้างอย่างมีนัยสำคัญ ดังนี้:
🔧 1. ลดต้นทุนจากอุบัติเหตุและการหยุดงาน
- การบาดเจ็บ/เสียชีวิต = หยุดงาน เสียเวลาทำงาน เสียค่าชดเชย
- ลดความถี่ของอุบัติเหตุ หมายถึง ลดค่ารักษาพยาบาลและค่าทดแทน
- ช่วยให้งานดำเนินต่อเนื่อง ไม่ต้องเสียเวลาหาคนใหม่มาทดแทน
✅ ตัวอย่าง: นายจ้างที่มีระบบความปลอดภัยที่ดี ลดการสูญเสียชั่วโมงแรงงานจากอุบัติเหตุได้หลายพันบาทต่อเดือน
🧾 2. ลดค่าประกันสังคมและเบี้ยประกัน
- หากบริษัทมีอัตราการเกิดอุบัติเหตุต่ำ → เบี้ยประกันอุบัติเหตุ/ประกันกลุ่มอาจถูกลง
- กรมสวัสดิการฯ อาจพิจารณาลดอัตราเงินสมทบในบางกรณี
📈 3. เพิ่มประสิทธิภาพงาน ลดของเสีย
- พนักงานที่ปลอดภัย = มีสมาธิในการทำงาน = ผิดพลาดน้อยลง
- ลดการสูญเสียจากความเสียหายของเครื่องจักร อุปกรณ์ และสินค้าระหว่างผลิต
👥 4. สร้างขวัญกำลังใจ ลดอัตราการลาออก
- สิ่งแวดล้อมปลอดภัย → พนักงานอยากอยู่กับองค์กรนานขึ้น → ลดต้นทุนการสรรหาและฝึกอบรมคนใหม่
⚖️ 5. ป้องกันค่าปรับและคดีความ
- หากเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงโดยไม่มีระบบความปลอดภัย → เจอค่าปรับแรงงาน/ถูกฟ้องร้อง
- ระบบความปลอดภัยดี = ลดความเสี่ยงทางกฎหมาย = ประหยัดต้นทุนระยะยาว
📢 สรุป:
งานความปลอดภัยไม่ใช่ภาระ แต่เป็น การลงทุน ที่คุ้มค่า โดยเฉพาะในช่วงเศรษฐกิจฝืดเคือง เพราะช่วยให้นายจ้าง “รอด” และ “รัดเข็มขัด” ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น