การเพิ่มมูลค่าให้งานด้านความปลอดภัย ด้วย ESG: เจาะลึกมิติ Environmental ในงานก่อสร้าง
ESG คืออะไร? แล้วช่วยลดต้นทุนก่อสร้างได้อย่างไร?
ESG ย่อมาจาก Environmental, Social, and Governance หรือที่เรียกว่า “สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล” ซึ่งกำลังกลายเป็นแนวทางสำคัญที่องค์กรธุรกิจทั่วโลกให้ความสำคัญ เพื่อให้การดำเนินงานเกิดความยั่งยืน ไม่ใช่แค่คำนึงถึงผลกำไร แต่ยังมองถึงผลกระทบต่อโลก คน และระบบบริหารจัดการองค์กรด้วย
ในภาคการก่อสร้าง ESG เข้ามามีบทบาทอย่างมาก โดยเฉพาะมิติ E (Environmental) ที่เกี่ยวข้องกับการใช้พลังงาน การปล่อยก๊าซเรือนกระจก การจัดการของเสีย และการควบคุมมลพิษ
หลายบริษัทเริ่มตระหนักแล้วว่า “ยิ่งรักษ์โลก ยิ่งลดต้นทุน” เพราะการจัดการสิ่งแวดล้อมที่ดี ไม่ใช่แค่ช่วยโลก แต่ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายจากการใช้ทรัพยากรอย่างสิ้นเปลือง และลดความเสี่ยงทางกฎหมายหรือภาพลักษณ์องค์กรได้ด้วย
เจาะลึก “E” ใน ESG สำหรับบริษัทก่อสร้าง
การดำเนินการตามแนวทาง Environmental มี 3 ส่วนหลัก ได้แก่:
1. การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Carbon Emissions Reduction)
วัตถุประสงค์: ลดการใช้เชื้อเพลิงและลดการปล่อยมลพิษที่ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อน
สิ่งที่ต้องทำ (Must-do):
- บำรุงรักษาเครื่องจักร-ยานพาหนะตามรอบ เพื่อลดการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์
- ดับเครื่องระหว่างพักงาน ลดการปล่อยคาร์บอนโดยไม่จำเป็น
- ปฏิบัติตามกฎหมายควบคุมมลพิษอากาศ
สิ่งที่ควรทำ (Should-do):
- ประเมินคาร์บอนฟุตพริ้นต์ (Carbon Footprint)
- ใช้พลังงานทางเลือก เช่น โซลาร์เซลล์
- วางแผนขนส่งวัสดุให้มีประสิทธิภาพ
- ใช้เทคโนโลยีก่อสร้างสีเขียว เช่น Prefab, BIM
- เข้าร่วมโครงการ Carbon Credit
2. การจัดการของเสียและทรัพยากร (Waste Management & Resource Efficiency)
วัตถุประสงค์: ลดขยะก่อสร้างและใช้ทรัพยากรให้คุ้มค่าที่สุด
สิ่งที่ต้องทำ (Must-do):
- แยกประเภทของเสียอย่างชัดเจน
- จัดการของเสียอันตรายอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
- ทำแผนจัดการของเสียสำหรับโครงการใหญ่
สิ่งที่ควรทำ (Should-do):
- นำแนวคิด 3R (Reduce, Reuse, Recycle) มาใช้
- เลือกใช้วัสดุยั่งยืน เช่น วัสดุรีไซเคิล วัสดุจากแหล่งรับผิดชอบ
- บันทึกปริมาณของเสียและของที่นำกลับมาใช้
- อบรมพนักงานให้เข้าใจการแยกขยะและลดของเสีย
3. การจัดการน้ำและมลพิษ (Water Management & Pollution Control)
วัตถุประสงค์: ป้องกันผลกระทบต่อแหล่งน้ำ ดิน และอากาศ
สิ่งที่ต้องทำ (Must-do):
- ติดตั้งระบบดักตะกอนและป้องกันน้ำปนเปื้อน
- เก็บสารเคมีในจุดปลอดภัย มีอุปกรณ์ป้องกันรั่วไหล
- ลดฝุ่นและเสียงรบกวนระหว่างก่อสร้าง
สิ่งที่ควรทำ (Should-do):
- ติดตั้งอุปกรณ์ประหยัดน้ำในไซต์งาน
- นำน้ำฝนหรือน้ำล้างบางประเภทกลับมาใช้
- ใช้แผ่นรองกันซึมในพื้นที่เก็บสารเคมี
- ปลูกพืช ฟื้นฟูพื้นที่เมื่อโครงการเสร็จ
- ตรวจสอบคุณภาพอากาศ น้ำ และเสียงในพื้นที่รอบโครงการ
สรุป: ESG เพิ่มมูลค่าให้โครงการ และ “E” เพิ่มพลังให้งาน จป.
การดำเนินงานตามแนวทาง “E” ใน ESG นอกจากจะช่วยลดการปล่อยคาร์บอน ลดของเสีย ลดค่าน้ำ-ค่าไฟ และลดการร้องเรียนจากชุมชนแล้ว ยังส่งผลดีโดยตรงต่อ ต้นทุนการดำเนินงาน
ที่สำคัญ คือยังเป็นโอกาสสำหรับ “งานด้านความปลอดภัย” หรือ จป. ในการเข้ามามีบทบาท เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง ผ่านการจัดทำแนวทางควบคุมฝุ่น เสียง ของเสีย และการพัฒนาสภาพแวดล้อมการทำงานให้สอดคล้องกับแนวคิด ESG
ยิ่งบริษัทตระหนักเรื่อง ESG เร็วเท่าไหร่ ยิ่งเพิ่มมูลค่าองค์กรและความปลอดภัยของคนทำงานได้มากเท่านั้น
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น